เรียนสิ่งที่จะต้องรู้ เพื่อการสอบใบขับขี่ภาคทฤษฎี

เรื่องแรกที่ต้องรู้เลยคือ Weggebruikers หรือแปลตรงตัวเลย ผู้ใช้ถนน จะแบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆ นะคะ คือ
1.bestuurder ผู้ขับเคลื่อน กริยา besturen แปลว่า ขับ บริหาร และ
2.voetganger คนที่ไสเท้าไป ให้รู้จักคำว่า gaan ไป , de gang ทางเดิน

ในสองประเภทนี้ ประเภทแรก bestuurders มีเยอะ เรามาดูคนที่ลี่บอกว่าไสเท้ากันก่อน voetgangers เนื่องจากชื่อก็บอกอยู่แล้ว ว่าคนที่ไสเท้าไปข้างหน้า ดังนั้นใครที่เคลื่อนไปด้วยเท้าตัวเองนั้นเป็น voetganger หมดเลย ไม่ว่าจะเป็น
-คนที่เดินจูงจักรยาน หรือมอไซต์ เพราะยางแบน รถเสีย
-คนที่เล่นสเก็ต โรลเลอร์เบลด สเก็ตบอร์ด หรือสเต็ป ที่ต้องไสตัวเองไปข้างหน้า
** อันนี้ต้องจำให้แม่นเลยคือ
- คนที่เดินจูงม้า หรือลา โพนี่ ช้างม้าวัวควายแพะแกะยูนิคอร์น อะไรก็ตาม ที่ปกติมันขี่ได้ ก็ยังถือเป็น bestuurder นะคะ คิดยังงี้ว่าเขามีหน้าที่ต้องคุมสัตว์เหล่านี้ ให้มันเดินต่อไป มันเดินเองไม่ได้ ไม่ใช่โรบอตตัดหญ้า คุมไม่ดี ม้าวิ่งเตะคนข้างถนนบาดเจ็บได้
- คนพิการที่เดินเองไม่ได้ พาหนะของคนพิการเหล่านี้ ก็นับแค่ช่วยให้เขาเป็น voetganger เท่านั้นเอง ถ้าเขาเลือกได้ เขาคงเลือกอยากจะเดินด้วยขาตัวเองมากกว่า เหล่านี้คือเทคนิคให้เข้าใจนะคะ

มาดู Bestuurders กันต่อค่ะ นั่นก็คือผู้ที่ควบคุมสิ่งที่เคลื่อนไหวได้สี่แบบต่อไปนี้คือ
1.พาหนะที่ไม่เคลื่อนด้่วยมอเตอร์ niet-motorvoertuig
2. พาหนะที่ได้สิทธิพิเศษ voorrangvoertuig ส่วนใหญ่เป็นของราชการ เช่นรถตำรวจ รถพยาบาล รถดับเพลิง
3. พาหนะที่เคลื่อนด้วยมอเตอร์ motorvoertuig
4. คนเลี้ยงสัตว์ ที่อาจจะไม่ได้มีเชือกจูง อาจจะต้อนไป เช่นแกะ แพะ วัว คนที่เป็นผู้นำนี้เรียกว่า geleider ถ้าเป็นผู้นำคน เขาเรียก begeleider แต่ใช้ในกรณีอื่น

ทีนี้มาดูหัวข้อแรกเลย

พาหนะที่ไม่เคลื่อนด้วยมอเตอร์ niet-motorvoertuig ง่ายๆ เลย ทุกคนรู้จักชัวร์ นั่นก็คือ fiets จักรยานแบบดั้งเดิมทีเ่ราเอาเท้าถีบนี่แหละ แต่ทุกวันนี้เขารวมไปถึง snorfiets, brommobiel, bromfiets และรถราง tram กะ รถไฟ trein ด้วย เดี๋ยวเรามาดูต่อว่า snorfiets, bromfiets, brommobiel ต่างกันยังไง

หัวข้อต่อมาค่ะ
voorrangvoertuig พาหนะที่ได้สิทธิพิเศษ จะได้สิทธิก็ต่อเมื่อเปิดไฟ optische signalen หรือเสียงไซเรน geluidsignalen นะคะ ไม่ว่าจะเป็น รถตำรวจ รถดับเพลิง รถพยาบาลคนเท่านั้น รถพยาบาลสัตว์ dierenambulance ก็ไม่นับเด้อ ทีนี้คำที่ต้องสังเกตนะคะ ก็คือตัวที่จะทำเรางง จริงๆไม่ยาก
มาดูคำว่า rijtuig และ voertuig ทำไมเราต้องเรียน เพราะสองตัวนี้จะมากำหนดค่ะ ว่าพาหนะใด สามารถจะใช้ทางเดินพิเศษอันได้แก่ voetpad ทางเท้า, fietspad ทางจักรยาน, bromfietspad ทางจักรยานมอเตอร์ และ ruiterpad ทางม้าเดิน ได้ โดย motorvoertuig เนี่ย ขึ้นทางพิเศษเหล่านั้นไม่ได้นะคะ เช่นเราจะเอา squad ไปขับในทางคนขี่ม้าไม่ได้ ความแตกต่างก็คือพวกที่เป็น brom นี่ล่ะค่ะ มันจะเป็นอีกแบบคือเป็น motorrijtuig แต่ไม่ใ่ช่ voertuig ดังนั้นมันก็จะไปวิ่งในเลนของตัวเองได้
บางสิ่งนั้นไม่เป็นแบบไหนเลย เช่นรถราง รถรางใช้ไฟฟ้าจากสายด้านบน
บางสิ่งเป็นทั้งสอง เช่นรถยนต์ รถสิบล้อ รถแทรกเตอร์
และพวกที่เป็น rijtuig ไม่เป็น voertuig ก็คือ bromfiets, brommobiel, snorfiets พวกนี้นะคะ พ้นจากหัวข้อชวนปวดกบาลไปส่วนต่อไปค่ะ ปวดหัวต่ออีก 555

เรื่องของจั๊กๆ จักรยานชนิดต่างๆ
fiets คือจักรยานตีนถีบที่เรารู้จัก จักรยานต้องอยู่ในเลนจักรยานนะคะ เอามาถีบบน voetpad ก็โดนปรับได้
e-fiets ก็ให้นับเป็นจักรยานเหมือนกัน เพียงแต่มันเร็วขึ้นมาได้ไม่ถึง 25กม/ชม และคนถีบไม่เหนื่อย
speed pedelec เป็น e-bike รุ่นล่าสุดที่วิ่งได้เร็วมาก เท่ากับ bromfiets เลย ดังนั้นใช้กฏเดียวกันดูข้างล่างเลยค่ะ
bromfiets เรียกว่า brommer ก็ได้ ก็คือ จักรยานยนต์ ดังนั้นมันต้องไปวิ่งอยู่ในเลนจักรยานยนต์ มาวิ่งเลนจักรยานปกติไม่ได้นะคะ ถ้าไม่มีเลนของมัน ก็ไปวิ่งบนถนนเลยจ้ะ ผู้ขับขี่ต้องใส่หมวกกันน็อค รถต้องมีทะเบียนเหลือง เหมือนรถยนต์นะคะ ทำให้คนขับต้องมีใบขับขี่ แบบ AM และมีความเร็วอยู่ต่างๆ กันแต่ไม่เกิน 45 กม/ชม บนถนน
ต่อมา brommobiel ค่ะ ที่เรียกว่า mobiel ก็เพราะมันมีล้อมากกว่าสอง และรูปร่างมันเหมือนรถยนต์คันกระจิ๋ว ที่ถ้าขึ้นถนนใหญ่ น่าจะโดนรถชนกระเด็นค่ะ มีทุกอย่างเหมือน bromfiets ค่ะ อ่อ ไม่ต้องใส่หมวกกันน็อคนะคะ อิอิ
snorfiets เป็นแบบบอบบางลงมาหน่อย เราจะเห็นความแตกต่างของมันจาก bromfiets ด้วยการดูป้ายทะเบียน อันนี้ป้ายสีฟ้า ไม่จำเป็นต้องสวมหมวกกันน็อค เพราะความเร็วสูงสุด แค่ 25 กม/ชม แต่ช่องการขับขี่เหมือน bromfiets เลยนะคะ อย่าลงไปในเลนจักรยานเชียว ลงได้เฉพาะเลน bromfietspad เท่านั้น segway ค่ะ อันนี้ทำคนขาหัก ปากแตก แขนหักไปหลายคนแล้ว เราอาจจะเห็นตำรวจใช้กันตามงานคอนเสิร์ตหรือการชุมนุมต่างๆ ใช้กฏข้อเดียวกับ snorfiets ค่ะ ไม่ต้องสวมหมวกกันน็อค และไม่มีทะเบียนใดๆ ค่ะ
motorfiets หรือเรียกกันว่า motor อันนี้คือรถจักรยานยนต์ที่เครือ่งยนต์แรงขึ้นกว่า เทียบเท่ารถยนต์เลย บางคันบิดมิดแล้วเร็วกว่ารถยนต์เก่าๆ สิบยี่สิบปีบางคันอีก อันนี้ต้องใช้ใบขับขี่แบบ A นะคะ ทะเบียนรถสีเหลืองเหมือนรถยนต์ และต้องใส่หมวกกันน็อคแน่นอน
scootmobiel เป็น gehandicaptenvoertuig ค่ะ รถที่คนพิการ คนแก่ใช้กัน ถ้าอยู่บน voetpad ก็ปฏิบัติประหนึ่งตัวเองเป็นคนเดินเท้า voetganger ใช้กฎเดียวกัน ถ้าไปอยู่ในเลนจักรยาน ก็ปฏิบัติตามกฎเหมือนตัวเองเป็น bestuurder อารมณ์มีสองร่างในหนึ่งเดียว

ลองนึกภาพไปด้วยนะคะ ถ้านึกไม่ออก เดินหาแถวๆ ในหมู่บ้านเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นค่ะ
ส่วนรถอื่นๆ มีดังนี้ค่ะ แม้ว่าเราจะขับแค่รถยนต์ ยังไม่ได้ข้ามไปรถอื่นๆ แต่ก็ต้องเรียนรู้ไว้นะคะ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยลงถนน จะได้รู้ว่าฝ่ายไหนทำผิดกฎจราจรไงล่ะค่ะ รถบัส ให้เน้นที่ผู้โดยสารค่ะ 8 คนชึ้นไป บางทีก็มีแค่สี่ล้อนั่นแหละ เช่น Benz Vito ไม่ว่าจะเป็นรถบัสโดยสารประจำทาง รถทัวร์นักท่องเที่ยว ผู้โดยสารเกินแปดคนนับเป็นบัสหมด กฏขั้นต่ำเหมือนรถอื่นๆ แต่บนไฮเวย์ มันขับได้สุดๆ แค่ 80 นะคะ ยกเว้นรถบัส T100 อันนี้ก็ตามชื่อเลยค่ะ เหยียบได้ถึง 100 ค่ะ ง่ายแมะ
vrachtauto หรือ vrachtwagen ค่ะ พวกนี้ไปเน้นที่น้ำหนักนะคะ 3500 กิโลกรัมขึ้นไป (สามตันครึ่ง) คนขับใช้ใบขับขี่ C1 ถ้ารถหนักมว้าก 7500 ขึ้นไป ใช้แบบ C เลย เช่นกัน อันนี้วิ่งบนไฮเวย์ได้แค่ 80 นะคะ

Autosnelweg & Autoweg และ Afstand & Snelheid

ขอรวบเข้ามาไว้ด้วยกันเลยนะคะ อ่านทีเดียว ไม่ต้องงง สรุปมาเรียบร้อย เรียนศัพท์ดัตช์ไปด้วยกันเลย

snel เรารู้จัก แปลว่าเร็ว snelheid คือความเร็ว อะไรที่ลงท้ายด้วย -heid เป็น de หมดเลยนะคะ สิ่งที่เราต้องเรียนกันก็คือ Maximumsnelheid ความเร็วสูงสุดค่ะ

มารู้จัก autosnelweg ที่เราเรียกสั้นๆ ว่า snelweg -ทางด่วนนั้น ก็ไม่ได้ด่วนจริงเหมือนกับ autobahn ทีเ่ยอรมันนีนะคะ ที่เนเธอร์แลนด์ถนนยังมีความเร็วสูงสุดบังคับใช้อยู่ โดยมีรูปสัญลักษณ์รูปทางคู่สีขาว บนป้ายสีน้ำเงิน บอกให้รู้ ว่านี่คือถนน Autosnelweg นะ ถนนทั้งหลาย จะมีเลขกำกับ โดยมีตัวอักษร A นำค่ะ ความเร็วสูงสุด จะได้แค่ 130 กม.ต่อชั่วโมง ยกเว้นจะมีป้ายอื่นบังคับนะคะ ไม่ว่าจะเป็น บางช่วงที่มีกำหนดไว้ว่า 100 กม.ต่อชั่วโมง หรือป้ายไฟที่จะกำหนดพิเศษเพิ่มเข้ามา เพื่อป้องกันรถติด (ซึ่งลี่ดูยังไง ก็มันนี่แหละที่ทำให้รถติด 55) ทั้งนี้ อาจจะกำหนดไว้ที่ 50 70 หรืออื่นๆ ตามการพิจารณา ในทางด่วนของเนเธอร์แลนด์ อาจจะเป็นทางหลักของ Europe ด้วยไปพร้อมๆกัน โดยอาจจะมีป้าย E+ตัวเลข กำกับไปด้วยบนถนนเดียวกัน บนทางด่วนนั้นจะไม่มีโอกาสที่จะได้เจอรถที่ตัดผ่านเลย-geen kruisend verkeer คำว่า kruisen นั้นแปลว่าตัดผ่านกัน เช่นกากบาท ทางด่วนจะใช้วิธีอื่นเช่นอุโมงคฺ์ ทางข้าม ทางลอดแทน ถ้าเราไม่เห็นป้ายบอกว่าเป็นทางด่วน เราจะรู้ได้จาก gescheiden rijbaan การแบ่งเลนที่เห็นอย่างชัดเจน ผู้ขับขี่ยานยนต์จะขึ้นไปบนทางด่วนได้ก็ต่อเมื่อ สามารถจะขับขี่ได้ด้วยความเร็วขั้นต่ำ 60 กม.ต่อชั่วโมงนะคะ ถึงแม้บางช่วงเขาจะมีป้ายไฟให้ขับ 50 กม.ต่อชั่วโมง ก็อย่าไปงงนะคะ ตั้งแต่ 12 มีนาคม 2020 มีกฎออกมาว่าในช่วงเวลากลางวัน บน snelweg ให้ใช้ความเร็วได้สูงสุด 100 กม ต่อชั่วโมงเท่านั้น นอกจากเวลานั้นไป ก็กลับไปใช้ความเร็วเดิม 120 / 130 ได้ค่ะ ดังนั้นดูเวลาด้วยนะคะ การนับเวลาก็จะเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า ไปจนถึง ทุ่มนึงค่ะ ทางด่วนบางเส้นนั้น หนักเข้าไปอีก คือกำหนดพิเศษไว้ทั้งเส้นทาง-traject ว่าความเร็วสูงสุดให้ใช้ได้ 80 กม.ต่อชั่วโมงเท่านั้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่ spitstrook เปิด (นั่นก็คือเลนซ้ายสุด) ก็จะต้องควบคุมความเร็วไว้ที่ 80 หรือ 100 กม.ต่อชั่วโมงแล้วแต่กำหนดนะคะ autoweg ถนนหลวง จะมีสัญลักษณ์ป้ายเป็นรูปรถยนต์ บนป้ายสี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน ความเร็ว 50 - สูงสุดแค่ 100 กม.ต่อชั่วโมงนะคะ อาจจะถูกกำกับด้วยป้ายอื่น เพื่อลดความเร็วลงได้อีก ถนนหลวงพวกนี้ อาจจะมีการตัดผ่านกัน และถ้าถนนไหนมีเลขที่ N แสดงว่ามันเป็น provincial hoofdweg ภาษาไทยก็เรียก ทางหลวงประจำจังหวัด ยานพาหนะใดที่ความเร็วถึง 50 กม.ต่อชม. สามารถขับขึ้นถนนนี้ได้

มาดูสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดบนทั้งสองถนนที่ว่านี้
1.ห้ามกลับรถ keren
2.ห้ามขับรถถอยหลัง achteruit rijden
3.ห้ามจอดนิ่งๆ (ยกเว้นรถติด และการจอดใ่นช่องทางที่อนุญาต เช่นรถเสียไปจอดในที่จอดข้างทาง)
4.รถคันใหญ่อย่าง รถที่มีตู้ลาก aanhangwagen หรือรถสิบล้อ vrachtwagen จะขับอยู่ในสองเลนขวาสุด(ที่วิ่งได้) เท่านั้น ห้ามเผยอมาขับอยู่ในเลนซ้ายๆ (ที่เขาไว้ให้รถที่ความเร็วสูงๆ) วิ่ง มาดูคำจำกัดความของคำว่า ทาง weg เราจะเจออะไรอยู่บนถนนหนทางบ้างเริ่มมาจาก
-voetpad ทางเท้า
-berm ไหล่ทาง ส่วนมากก็เป็นดิน
-fietspad เลนจักรยาน
-rijbaan เลนรถวิ่ง
-inrijstrook ถนนเข้าสู่ถนนใหญ่ uitrijstrook เลนวิ่งออกจากถนนใหญ่
-vluchtstrook เลนเพื่อจะหลบเข้าจอด หากรถมีปัญหา
rijbaan ถ้าเรารู้จักคำว่า baan ที่แปลว่างาน เราอาจจะงง คำนี้ยังแปลว่า ช่อง ลู่ ถนน ได้ด้วยนะคะ rijbaan ก็คือ ถนนที่เอาไว้ให้ยานพาหนะวิ่ง (ยกเว้นจักรยานและเลนจักรยานยนต์) บนนั้นก็จะมี
rijstrook ก็คือเลนย่อยๆ ที่เอาไว้วิ่งโดยเฉพาะ บน rijbaan อาจจะมีหลายๆ rijstroken ก็ได้ค่ะ
โดยที่สองข้างทางจะมีเลนเหมือนกัน แต่ไม่อนุญาตให้วิ่ง ถ้าไม่จำเป็น นั่นก็คือ
เลนขวามือ เรียกว่า vluchtstrook คำนี้ถ้าเรารู้จักแต่ ไฟลท์บิน vlucht เราก็จะงงอีก จริงๆแล้วมันมาจากกริยา vluchten หนี หลบหนี(อันตราย) มันคือเลนที่เวลารถยางแตก รถเสีย หรืออื่นๆ โดยบนเลนขวาสุดนี้จะมีเส้นขาวทึบกั้นไว้ บางส่วนที่เรียกว่า vluchthaven ไม่ใช่ luchthaven-สนามบินนะคะ เป็นจุดที่จอดรถได้ ทำเข้าไปในข้างทาง ตามปกติแล้วบนถนนทางด่วนก็จะมี vluchthaven อยู่เป็นระยะ ทาง
spitsstrook ถ้าเรารู้จัก spits เราจะรู้ว่ามันแปลว่า เวลาเร่งรีบ เวลาที่รถแน่น ถนนที่เป็น rijstroken ทั้งหลาย จะมีเครื่องหมายไฟ ให้เรารู้ว่าเปิดใช้ เราก็สามารถวิ่งไปในเลนนั้นได้ ทั้งที่ปกติอาจจะไม่ให้ใช้ค่ะ
plusstrook เลนนี้คือ spitsstrook ด้านขวา ที่เราเอาไว้แซงนั่นแหละค่ะ
invoegstrook เวลาที่เรานั่งอยู่บนรถ แล้วมีถนนร่วมที่รถอื่นสามารถเข้ามาได้ เราเรียกถนนเส้นนั้นว่า invoegstrook ค่ะ ส่วน สำหรับการออกจากถนนใหญ่ เราจะเรียกทางออกนั้นว่า
uitrijstrookค่ะ ทั้งสองถนนนี้ เราจะเห็นได้ชัดว่าบนพื้นถนนจะมีเส้นประที่เป็นบล็อกก้อนๆ สี่เหลี่ยม ไม่เหมือนถนนเส้นประธรรมดาค่ะ เพื่อบอกให้เราระวัง ว่าจะมีรถยนต์เคลื่อนไหวได้ระหว่างสองเลนนี้ ดังนั้นเราต้องระวังเป็นพิเศษ
ทางออกจากทางด่วนนั้น เราเรียกมันว่า afrit โดยมันจะมีตัวเลขด้วย ถ้านาวิ เกเตอร์บอกให้เราออก เราก็ต้องฟังให้ดี เพราะถ้าขับเลย กว่าจะหาทางไปยังปลายทางที่เราต้องการได้ อาจจะทำให้เราเสียเวลา เปลืองน้ำมันไปกว่าเดิมเยอะโดยไม่ใช่เรื่อง
file คือสภาพรถติด การเคลื่อนไหวบนถนนที่เป็นไปได้อย่างล่าช้า ช่วงที่รถติด สิ่งที่เราต้องระวังให้มากก็คือการรักษาระยะห่าง-volgafstand คำศัพท์ afstand แปลว่าระยะทาง เรารู้จักแล้วจากคำว่า afstand bediening-remote control ทีวี ส่วน volgen ก็คือกริยา ตาม ติดตาม ทีนี้เริ่มสู่การขับบนถนนต่างๆ
bebouwde kom อย่าไปงงคำว่า kom คนที่อยู่ในครัวจะรู้จัก kom ว่าแปลว่าถ้วย แต่ จริงๆแล้วมันแปลว่าเขตเมือง โดยทันทีที่เข้าเขตเมืองมันก็จะมีป้ายสีน้ำเงิน บอกชื่อเมืองไว้ ในเขตเมืองนี้เราขับรถได้ที่ความเร็ว 50 กม.ต่อชั่วโมง ถ้่านอกเขต ก็ 80 กม.ต่อชั่วโมง เป็นเลขที่จำไม่ยากเกินไปนะคะ ส่วนของความเร็วของรถแต่ละชนิดให้กลับไปอ่านรายละเอียดในเรื่องของความเร็วสูงสุดที่บังคับของยานพาหนะในบทแปลก่อนหน้านี้นะคะ

กับการบังคับรถค่ะ manoeuvres มานูฟเวร่อะส

เขียนประหลาดๆ สระติดกันสี่ตัวแบบนี้ ก็รู้ได้เลยว่าไม่ใช่ภาษาดัตช์แต่แรกแน่ๆ สิ่งแรกที่เราจะเรียนก็คือ

เมื่อเราก้าวขึ้นรถ wegrijden ค่า ขับออกไป เราจะขับออกไปได้ก็ต่อเมื่อไม่มีเราไม่ไปเกะกะขัดขวางทางใคร niemand hindert ตอนสตาร์ทรถ ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะใช้วิธีไขกุญแจ หรือกดปุ่มสตาร์ทก็ตาม ไม่ว่ารถจะเป็นเกียร์กระปุก หรืออัตโนมัติ เราก็จะไม่เหยียบคันเร่ง จนกว่าจะถึงจุดที่พร้อมจะออกตัว จึงค่อย gas geven ลองคิดดูว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน พวกที่ยังไม่ออกรถ แต่ชอบเบิ้ลเสียงดังๆ หนวกหู และที่สำคัญ อย่าเปิดไฟท้ายบอกทิศทาง จนกว่าจะออกจริง เพราะการเปิดไฟทิ้งไว้ มันทำให้รถคันอื่นเข้าใจผิด และเมื่อเปิดทิ้งไว้นานเกินไป เขาจะหมดความเชื่อถือ Geef richting pas op het punt van wegrijden

เรื่องต่อมาค่ะคือ แซงค่า inhalen คำนี้ถ้าเราใช้กับเรื่องอื่นๆ แปลว่าตามให้ทัน เช่นเรียน ก็คือ เราอาจจะไม่ได้เข้าคลาสเพราะป่วย เราก็มาเรียนให้ทันเพื่อน ใช้กริยานี้เช่นกัน แต่เมื่อพูดถึงถนน inhalen แปลว่าแซง passeren van een andere weggebruiker ขึ้นชื่อว่าแซง สามารถแซงได้แม้แต่บนถนนที่ขับไปในทิศทางเดียวกัน dezelfde richting หรือแซงในเส้นทางที่เราอาจจะเจอรถสวนมาได้ tegemoetkomend verkeer หลักการแซงนั้น แน่นอนว่าเราต้องขับให้เร็วกว่ารถอีกคัน และตามหลักเราจะแซงซ้ายเสมอ links inhalen แต่ก็มีข้อควรระวังว่า แซงอย่างไรก็ต้องระวังอย่าให้ความเร็วเราเกิน maximum snelheid ความเร็วสูงสุด และ มีข้อกำหนดสำหรับการแซงขวา อยู่ในกรณีเหล่านี้ค่ะ

rechts inhalen mag als
- เราแซงคนช่องขวาที่อยู่ใน blokmarkering ก็คือแซงขวาคนที่มาจากทางร่วม (เพราะเดี๋ยวเขาก็จะไปซ้ายอยู่แล้ว) นั่นเอง
- ที่วงเวียน rotonde แน่นอน สลับกับไทย ที่นี่เราก็จะแซงขวากัน
- เมื่อรถติด in de file อนุญาตให้แซงขวาน้อ
- เมื่อรถแทรม รถราง จอดในโซนเกาะกลางถนน เราซึ่งใช้เลนขวา จึงได้โอกาสในการแซงขวาด้วย
-เมื่อคนขับคนอื่นเขาเข้าชิดซ้าย เพื่อเตรียมเลี้ยวซ้าย voorgesorteerd om links af te slaan เราเข้าแซงขวาได้
ทั้งหมดนี้ให้มองภาพถนนไว้ ถ้าเรานั่งอยู่ในรถจริง เราจะนึกออก แถวบ้านใครไม่มีรถราง รูปตัวอย่างในแบบฝึกหัดออนไลน์มีให้ดู รับรองเข้าใจค่ะ

ส่วนคำว่า voorbijgaan นั้น ไม่เหมือนกับแซงตรงที่ สิ่งนั้นมันขยับไม่ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นรถที่โดนชนมานอนเค้เก้อยู่ หลุมที่เขาขุดไว้ถนน ฟางก้อนยักษ์ที่หล่นจากรถบรรทุกกองอยู่บนถนนหรืออื่นๆที่มันขยับไม่ได้ เราเรียกกริยานี้ว่า voorbijgaan ไม่ใช่ inhalen สิ่งกีดขวางนั้นเรียกว่า obstakel ใครขับรถมาจากไทย จะสบาย เพราะการแซงนี่มันเรื่องขี้ๆ เลย ทีนี้ใครเพิ่งหัดขับรถ เราต้องกะระยะแซงให้ดี อันนี้เรียกว่า inhaalafstand ซึ่งเราต้องกะให้ดี การแซงไม่ยากแต่เมื่อแซงเสร็จแล้วจะกลับเข้าสู่เลนของตนเองได้ หรือต้องระวังไม่ให้ชนคนอื่นที่อยู่ข้างหน้าหลังจากเราแซงอันนี้คือสิ่งสำคัญ เราต้องระวังด้วยไม่ให้ตัวเองขับเร็วเกินกว่าความเร็วจำกัด ไม่งั้นโดน flits ค่าปรับมาแน่ๆ และไม่ใช่คนขับรถทุกคนจะช่วยสนับสนุนให้คนอื่นแซง บางคนพอเราจะแซง มันจะกวนตีนใส่ ขับเร็วขึ้นมาแข่งกะเรา ดังนั้นคำนึงถึงความปลอดภัยและระยะแซง และความเร็วให้ดีค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแซงรถสวน ที่เรียกว่า tegemoetkomend verkeer

ขั้นตอนสุดท้ายของการแซงเสร็จ ก็คือการ afronden คำนี้ถ้าเอาไปใช้กับเรื่องตัวเลข จะแปลว่า ปัดขึ้น หรือปัดเศษ เช่น 9.8 เราก็ afronden เป็นสิบ แต่ในเรื่องของการขับรถ afronden แปลว่าทำให้จบ เราจบการแซงด้วยการกลับเข้าสู่เลนเดิมให้เร็วที่สุด zo snel mogelijk การคาอยู่ในเลนซ้ายนานๆ จะเกะกะและมีสิทธิโดนตำรวจจับอีก สำหรับการกลับเข้าเลนนั้นมีเทคนิคคือ เราต้องดูกระจกมองหลัง binnenspiegel / achteruitkijkspiegel ว่าเราเห็นด้านหน้าของรถคันหลังที่เราแซงเสร็จแล้ว ingehaald voertuig นั้น ทั้งหมดก่อน แล้วจึงค่อยกลับ ไม่งั้นจะกลายเป็น ปาดหน้า snijden เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก สิ่งที่สำคัญของการแซงก็คือ การเปิดไฟบอกทิศทางนะคะ

แล้วเมื่อไหร่ที่แซงไม่ได้
- เมื่อมีป้ายห้ามแซงบอกไว้แล้ว ป้ายกลมขอบแดง ที่มีรูปรถสีแดงทางซ้ายและดำทางขวา และแม้จะยังไม่เข้าเขตป้าย ก็ห้ามแซงไว้ เพราะเราอาจจะแซงเสร็จ afronden ไม่ทัน
- ห้ามแซงใกล้ๆ จุดข้ามของผู้เดินเท้า voetgangersoversteekplaats อันตรายกับคนเดินเท้ามากๆ
- ถ้าบนพื้นถนน มีเส้นทึบ ในฝั่งของเรา ด้านไหน ก็ห้ามแซงไปด้านนั้น
นอกจากนั้นก็ยังอยู่กับความปลอดภัยด้วย
ห้ามแซงในโค้งที่มองไม่เห็น onoverzichtelijk bocht
ห้ามแซงบนเนิน helling
ห้ามแซงตรงสี่แยก หรือจุดแยก

ในการขับรถจะมีการควบคุมรถที่เรียกว่า bijzonder manoeuvres อยู่ รายการเหล่านี้ หากเราจะทำ ต้องให้แน่ใจว่าเราต้องให้ ผู้ใช้ถนนอื่น weggebruiker ผ่านไปก่อน voor laten gaan เสมอ นั่นก็ได้แก่
-การขับออกมา wegrijden
-การถอยหลัง achteruitrijden
-กลับรถ keren
-ออกจากทางออกมาเข้าถนนใหญ่ uit een uitrit op de weg rijden
-เปลี่ยนเลน van rijstrook wisselen
-ทั้งการเข้าออกจากทางร่วมถนนใหญ่ vanaf invoegstrook de rijbaan oprijden / vanaf de rijbaan naar de uitrijstrook oprijden

กริยาต่อไป voorsorteren คือการชิดซ้ายหรือขวาเพื่อเตรียมเลี้ยว afslaan เมื่อเราขับรถในยุโรป ถนนขับทางขวา การจะเลี้ยวซ้าย เราต้องไปให้ชิด wegas กลางถนนมากที่สุดหากเป็นถนนที่มีรถสวน tegemoetkomend verkeer ถ้าเป็นถนนทางเดียวก็ชิดซ้ายให้มากที่สุด zoveel mogelijk links

ส่วนการเลี้ยวขวา แน่นอนเราจะมีอุปสรรคคือทางจักรยาน หรือทางจักรยานยนต์ ให้เราดูเส้นที่พื้นถนนร่วมด้วย ตามปกติแล้วถ้าไม่มี เราก็ชิดขวาสุดไปได้เลย แต่หากมีทางจักรยานหรือจักรยานยนต์ fietspad/ bromfietspad ดูเส้นประ ถ้าเส้นประ onderbroken streep เข้าไปได้ แต่ถ้าเป็นเส้นทึบ doorgetrokken streep ก็เบียดเข้าไปชิดขวาบนเลนจักรยาน/จักรยานยนต์นั้นไม่ได้ นั่นเอง บางครั้งแม้เราจะไม่ได้อยากเลี้ยว แต่เราก็จะต้องชิดขวาหรือซ้ายเพื่อเปิดทางให้รถอื่นๆ ผ่านไปได้อย่างรวดเร็วด้วยความจำเป็น เช่นกันค่ะ


Top
© 2003-2021 Thai-Dutch.net All Rights Reserved
| Home | Europe Tour by Smiley | RianDutch | Facebook-Double Dutch | Copyright | Privacy statement